เชื่อว่า หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับ “ลูกหลินจือ” ช่างฉลาดดีเหลือเกิน มีสุขภาพแข็งแรงจัง ไม่ออดแอดขี้โรค ไม่ค่อยไปหาหมอ
สมัยโบราณ เมื่อลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว หรือแม่ผัว พอได้ข่าวดีลูกสาวหรือลูกสะใภ้ตั้งท้องจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด แล้วจะเริ่มเสาะแสวงหาอาหารบำรุง ยาบำรุงให้ลูกสาวหรือลูกสะใภ้กิน โดยมีจุดประสงค์ต้องการให้ลูกในท้องมีความสมบูรณ์ มีสุขภาพที่แข็งแรงในอนาคต และว่าที่คุณแม่ต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อจะได้แพ้ท้องน้อยลง แท้งยาก และคลอดง่าย
แน่นอน คุณแม่สมัยก่อน (หมายถึงคนจีน) จะนึกถึง ไก่ดำตุ๋นยาจีน “โสม” และที่ไม่น้อยหน้าเช่นเดียวกันก็คือ “หลินจือ” หรือแม้แต่ไปหาหมอ เพื่อให้เจียดยาบำรุง ก็ต้องมีทั้งโสมและหลินจืออยู่ในเทียบยาด้วยเช่นเดียวกัน
สิ่งแรกที่เป็นความหวั่นวิตกของคุณแม่คนใหม่ตลอดจนคุณแม่และแม่ผัวก็คือ โดยหญิงที่ตั้งท้องมักจะมีอาการ “แพ้ท้อง” เป็นส่วนใหญ่ จากความวิตกดังกล่าว ก็มักจะทำให้เกิดอาการ “เครียด” โดยไม่รู้ตัว และเมื่อเกิดความเครียด แล้วไม่ได้ทำการแก้ไขจะมีผลกระทบไปถึงลูกในท้องไม่มากก็น้อย
ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ “แท้ง” นั่นเอง
ดังนั้น ในตำรายาแผนโบราณของจีน จึงได้กล่าวถึง “หลินจือ” ว่า ยอดเยี่ยมกับการบำรุงครรภ์ เมื่อครรภ์มีความแข็งแรง โอกาสที่จะเกิด “การแท้ง” ก็ย่อมน้อยลง และเมื่อมีการบำรุงครรภ์ ก็เท่ากับลดอาการแพ้ท้องโดยปริยาย ในขณะเดียวกัน ตำรายาแผนโบราณก็กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า “หลินจือ” ช่วยให้จิตสดใส อารมณ์สดชื่น ความเครียดก็ย่อมไม่เกิดโดยปริยาย
มาถึงยุคใหม่ ก็ประมาณ 30 ปีที่แล้ว ดร.ยูคิโอะ นาโออิ เจ้าพ่อหลินจือ ตัวจริง ที่เพาะหลินจือโดยฝีมือมนุษย์สำเร็จเป็นคนแรกของโลก ได้ทำการรวบรวมสถิติหลินจือใช้รักษาผู้ป่วยทางคลินิกและรวบรวมสถิติต่าง ๆ เอาไว้มากที่สุดในยุคนั้น (ประมาณ ปี 1971-1981) ถึง 10 ปี ก็ได้ยืนยันในเรื่อง หลินจือบำรุงครรภ์ ลดอัตราการแท้ง ช่วยลดอัตราความเครียด ทำให้จิตใจสดใส อารมณ์สดชื่น
มีการวิจัยเพิ่มเติมในเวลาต่อมาได้พบว่า หลินจือมีกลุ่มสารออร์แกนิกเจอร์แมเนี่ยม สารสำคัญที่ช่วยให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตมีอ๊อกซิเจนเพิ่มมากขึ้นถึง 1.5 เท่า อ๊อกซิเจนเกาะเม็ดเลือดแดงที่เป็นพาหะพาไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายและสู่เซลล์สมอง เมื่อสมองได้รับอ๊อกซิเจนก็จะเกิดการคลายตัว มีความสดชื่นตามมาอย่างธรรมชาติ